ภายหลังประเทศไทย ปลดล็อกพืชกระท่อม ออกจากบัญชียาเสพติดประเภท 5
มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค.64 ที่ผ่านมา ทำให้ชาวบ้านทั่วไปสามารถปลูกเอาไว้ครอบครอง และซื้อ ขาย หรือนำมาบริโภค ได้อย่างเสรี ไม่ผิดกฎหมาย สาระสำคัญของร่างกฎหมาย คือ ห้ามจำหน่ายให้กับผู้มีอายุต่ำกว่า 18 ปี หญิงตั้งครรภ์ สตรีให้นมบุตร ห้ามขายในหอพัก สวนสาธารณะ สถานศึกษา และห้ามขายโดยการโฆษณา หรือสื่อสารการตลาด เพื่อจูงใจสาธารณชนให้บริโภค รวมถึงห้ามนำมาต้มผสมกับยาเสพติด และเป็นมาตรการดูแล ในการนำเข้าและการส่งออก ต้องขออนุญาต
“วิชัย ไชยมงคล” เลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) บอกอย่างชัดเจนว่า ไม่สามารถทำได้ในการต้มน้ำกระท่อมใส่ขวดขาย เพราะติดข้อห้ามในการนำใบกระท่อมผลิตเป็นอาหารจำหน่าย ใน พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ. 2522 ซึ่งอยู่ในบัญชีแนบท้ายลำดับที่ 52 โดยกระทรวงสาธารณสุข จะต้องปลดออกจากบัญชี เพื่อให้เป็นประโยชน์กับประชาชนมากที่สุด แม้ที่ผ่านมาได้มีการปลดล็อกออกจากบัญชียาเสพติดประเภทที่ 5 ไปแล้วก็ตาม
ส่วนการขายใบกระท่อมในสื่อโซเชียล สามารถทำได้ไม่มีข้อห้ามในร่าง พ.ร.บ.พืชกระท่อม เพราะไม่ใช่ยาเสพติดอีกต่อไป ยกเว้นไปผสมกับสารเสพติด มีความผิดตามกฎหมาย หรือการโฆษณาอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง ไม่สามารถทำได้ คาดว่ายังอีกนานจะเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภา และอาจมีการแก้ไขร่างกฎหมายเพิ่มเติม ดังนั้นในขณะนี้ประชาชนทั่วไป สามารถครอบครองใบกระท่อม และซื้อ ขาย บริโภคได้อย่างเสรี แต่ห้ามนำไปต้มขายเท่านั้น
ในอนาคตจะเห็นพืชกระท่อม เป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ ซึ่งเป็นไม้ยืนต้น โตเร็วใช้เวลาปลูก 3-5 ปี ไม่ต้องรอให้ออกผล ก็สามารถเก็บใบมาขายได้ และมีอายุยืนนานกว่า 100 ปี ถือเป็นการลงทุนที่ต่ำกว่ากัญชา และกัญชง คาดว่าในช่วง 3-5 ปีนี้ ราคาใบกระท่อม จะอยู่ที่กิโลกรัมละ 500 บาท และราคาอาจลดลงไปในอนาคต เมื่อมีผู้ปลูกมากขึ้น.
แหล่งที่มา : ไทยรัฐออนไลน์